หนึ่งในเคล็ดลับหน้าหวาน หน้าหล่อ สวยเป๊ะของหนุ่มสาวในปัจจุบัน นั่นคือ “การฉีดฟิลเลอร์” ที่ช่วยเติมเต็มร่องลึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิว ใต้ตาลึก ร่องแก้มให้กลับมาเรียบเนียน ดูสดใส มั่นใจ มีออร่า และก็ยังช่วยเสริมโหงวเฮ้งให้กับตัวเอง ทำให้ชีวิตดีขึ้น อาทิเช่น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ที่ช่วยในเรื่องการค้าขายและธุรกิจ ทำให้รับทรัพย์มากขึ้น มีคนช่วยอุปถัมภ์ สำหรับในผู้หญิงถ้าหน้าผาก ในทางโหงวเฮ้งบ่งบอกว่าจะได้สามีรวย ไม่ต้องทำงานหนัก ทั้งนี้ยังปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ มีเสน่ห์หน้ามองอีกด้วยครับ
เลือกอ่านเนื้อหา
4. ข้อควรรู้ก่อนและหลังฉีดFiller
5. ฉีดFillerที่ไหนดี? ต้องดูอะไรบ้าง
ฟิลเลอร์ คืออะไร
Filler คือ การฉีดสารเติมเต็มผิวประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “HA” เพื่อช่วยเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง ช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น ในชั้นผิวบริเวณจุดฉีดฟิลเลอร์ ทำให้ผิวเกิดความยืดหยุ่น ผิวเต่งตึง เนียนเรียบและช่วยลดริ้วรอยได้ครับ จะเหมาะสำหรับใครที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก ที่เกิดขึ้นบริเวณต่างๆ ของใบหน้า ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชั้นผิวหนัง และยังทดแทนคอลลาเจนให้กลับมาเติมเต็มและเรียบเนียนเท่ากับบริเวณโดยรอบครับ
Filler ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า รวมไปถึงปัญหา หลุมสิว ใบหน้าที่ไม่เรียบเนียบ แต่สำหรับบทความนี้หมอจะมาแนะนำ 6 จุดฉีดฟิลเลอร์ที่นิยมมากที่สุด และเห็นผลเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
1. ฉีด Filler ใต้ตา : เหมาะสำหรับคนที่ใต้ตาลึก คล้ำ ดูโทรม ยิ่งอายุมากขึ้นปัญหาใต้ตากระดูกใต้ตาจะยุบตัวลง เนื้อน้อยลงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะทำให้ดวงตาดูสดใส มีประกายมากขึ้น เติมเต็มร่องใต้ตาที่ลึก ให้ดูเด็กลงด้วยครับ
2. ฉีด Filler ปาก : ช่วยเติมเต็มเปลี่ยนทรงปาก ให้อวบอิ่ม ดูมีเสน่ห์ เห็นผลหลังทำได้อย่างชัดเจน โดยปกติจะฉีดฟิลเลอร์ปากเพียง 1-2 CC. เท่านั้น ปริมาณมากน้อย ขึ้นอยู่กับการพิจารณารูปทรงปากของแต่ละคน
3. ฉีด Filler คาง : ปรับรูปหน้าให้เรียว สวย เป็นวีเชฟ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับเทคนิคของหมอแต่ละคนด้วยนะครับ ถ้ามีเทคนิคที่ดี มีความชำนาญ จะสามารถเห็นผลได้ดีและชัดมาก โดยทั่วไปมักจะฉีดฟิลเลอร์คาง 1-3 CC.ครับ
4. ฉีด Filler ร่องแก้ม : ปัญหาร่องแก้มลึกบ่งบอกถึงใบหน้าที่แก่ ไม่มีชีวิต ชีวา การเติมฟิลเลอร์ร่องแก้มใช้ประมาณ 1-3 หรือบางคนมีปัญหาร่องแก้มที่ลึกมากๆ อาจจำเป็นต้องใช้ถึง 5 CC. แล้วแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับที่แพทย์ประเมินครับ
5. ฉีด Filler ขมับ : เหมาะสำหรับคนที่มีโหนกแก้มเด่น เนื้อขมับและเนื้อแก้มตอบที่ยุบตัวลง ดูเหนื่อยโทรม อ่อนล้า แก่กว่าวัย ทำให้ขาดความมั่นใจได้ครับ การเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์จะทำให้ดูสมดุลได้สัดส่วนมากขึ้นครับ
6. ฉีด Filler หน้าผาก : ใครที่มีปัญหาหน้าผากแบนราบ ไม่โดดเด่น การฉีดฟิลเลอร์จะปรับรูปหน้า ให้ดูอ่อนวัย ฟิลเลอร์หน้าผากจำเป็นต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์หลาย cc เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน
Filler แต่ละจุด ควรฉีดกี่CC
1. ฉีด Filler ใต้ตา : ควรฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 1 CC เติมเต็มให้ดูเป็นธรรมชาติ พอดี
2. ฉีด Filler ร่องแก้ม : ควรฉีดฟิลเลอร์ 1-3 CC แต่สำหรับบางคนที่มีปัญหาร่องแก้มลึกมากๆ จำเป็นต้องเติมถึง 5 CC ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพทย์เป็นคนประเมินครับ
3. ฉีด Fillerปาก : ควรฉีดฟิลเลอร์ 1-2 CC หากฉีดเยอะเกินไปจะทำให้ปากดูห้อย ดูใหญ่เกินไป หมอแนะนำให้มีฉีดเพิ่มหลังจากฉีดไปแล้ว 2-3 เดือน
4. ฉีด Filler คาง : ควรฉีดฟิลเลอร์ 1-3 CC ดูธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน เห็นผลการเปลี่ยนแปลง และควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง เพื่อคงสภาพให้อยู่ทรงได้นาน
5. ฉีด Filler หน้าผาก : ควรฉีดฟิลเลอร์ 2-5 CC ให้ดูเป็นธรรมชาติ ฟิลเลอร์หน้าผากไม่ควรฉีดเกินครั้งละ 5cc เนื่องจากจะเกิดการกดทับเนื้อเยื่อและบวมลงมาถึงบริเวณรอบดวงตาได้ครับ
ข้อควรรู้ก่อนฉีด Filler
1. ควรศึกษาสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ได้รับความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงแพทย์ผู้ทำหัตถการต้องมีความชำนาญ ประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์เป็นอย่างดี สามารถให้คำแนะนำกับคนไข้หรือผู้ที่มาให้บริการได้ครับ
2. ฟิลเลอร์ปลอม เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอันตรายได้ ฉะนั้นการโฆษณาอวดอ้างว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดให้เป็นแบบกึ่งถาวร หรืออยู่ได้นานมากกกว่า 4 ปี ซึ่งความจริงแล้ว อาจไม่ใช่ฟิลเลอร์หรือฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid : HA) ตามมาตรฐาน หากอยู่ใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลานานเกินไป อาจทำให้เกิดอันตรายได้
3. ใช้ฟิลเลอร์ให้ถูกกับปัญหา ปัจจุบันฟิลเลอร์มีหลายรุ่น หลายยี่ห้อ และมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป มีทั้งเนื้อแข็ง เนื้ออ่อน ที่เหมาะสมกับผิวหนังในบริเวณที่ต้องการฉีดแตกต่างกันไปครับ หมอจะต้องเลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้เหมาะกับผิวบริเวณที่ฉีด สามารถเข้าไปอ่านบทความของหมอเพิ่มเติมได้ที่ “เลือกแบบไหนดี? ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แตกต่างกันยังไง” ครับ
ข้อควรรู้หลังฉีด Filler
1. หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกาและกดนวดในจุดที่ฉีด
2. หากก่อนทำไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบกินยาฆ่าเชื้อทันที นอกจากนี้ยังมียาแก้ปวด ลดบวมกลับไปให้ทานด้วยครับ
3. ควรอยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด
4. ให้งดเลเซอร์ร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 2 – 3 สัปดาห์
5. ควรงดทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวมและทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ หมูกระทะ ชาบู อาหารหมักดอง งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้าและทำให้ฟิลเลอร์สลายได้เร็วขึ้น เป็นต้น
ฉีด Filler ที่ไหนดี ? ต้องดูอะไรบ้าง
ในปัจจุบันมีหลายคลินิกที่มีบริการฉีดฟิลเลอร์ แต่ใช่ว่าทุกที่จะเหมาะสมกับเรา สำหรับใครที่อยากฉีดฟิลเลอร์แต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นจากศึกษาจากไหนดี หมอแนะนำให้ดูความน่าเชื่อถือของคลินิกหรือสถานพยาบาล รวมไปถึงความสะอาด ความปลอดภัยด้วยครับ
1. คลินิกต้องได้รับมาตรฐาน มีใบรับรองจากกระทรวง อนุญาตให้เปิดคลินิกได้
2. ความน่าเชื่อถือของแพทย์ ที่ทำให้ต้องมีความรู้ ความชำนาญ รวมไปถึงการดูรีวิวผลงานของแพทย์ท่านนั้น สามารถเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน และสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
3. เป็นการฉีดFiller แท้ จำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียด และสามารถขอตรวจสอบได้ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ และมีราคาที่สมเหตุสมผล
4. มีผลงานรีวิว ทั้งภาพนิ่งก่อนทำและหลังทำ รวมไปถึงวิดีโอเพื่อให้เป็นการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
รวมรีวิวฟิลเลอร์
ตอบคำถามยอดฮิต
Q: ฉีดFiller บวมนานแค่ไหน?
A: บวมประมาณ 2-3 วันแรกครับ ช่วงแรกหลังทำห้ามแกะหรือเกาเด็ดขาด เพื่อป้องกันการบวมและซ้ำง่าย
Q: Filler อยู่ได้นานแค่ไหม?
A: อยู่ได้นาน 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ และการดูแลรักษาของแต่ละคน
Q: Filler แท้ดูยังไง?
A: กล่องฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แท้จะต้องมีฉลากภาษาไทยติดอยู่บนกล่อง พร้อมราคา และข้อมูลเลข Lot เลขที่อ้างอิง, วันผลิต, หมดอายุ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความ: ฟิลเลอร์แท้ & ปลอม มีวิธีดูยังไง?
Q: Filler กี่วันเห็นผล
A: การฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลหลังทำทันที และจะเห็นผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้นหลังทำ1-2 สัปดาห์ครับ
Q: การฉีด Filler อันตรายไหม?
A: การฉีดฟิลเลอร์ไม่อันตรายครับ หากเลือกคลินิกที่น่าเชื่อ แพทย์ที่ชำนาญและที่สำคัญต้องใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น
Q: ถ้าฉีด Filler แล้วไม่ชอบสามารถฉีดสลายได้หรือไม่
A: สามารถฉีดสลายออกได้ทันที ไม่ส่งผลให้เกิดอันตราย
YKJ Medical Center (ชื่อเดิม “ธีระธรฌ์คลินิก”) ก่อตั้งโดยคุณหมอกัน นพ. รัฐรุจน์ บารมีไชยภัสร์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านศัลยกรรมความงามและการปรับรูปหน้าระดับนานาชาติ ประสบการณ์กว่า 20 ปี โดดเด่นในหลากหลายหัตถการ เช่น เสริมจมูกโอเพ่น , ทำตาสองชั้น , ดึงหน้า , เสริมหน้าอก , ฉีดฟิลเลอร์ และอื่นๆ
คุณหมอกันเป็นผู้บุกเบิกการทำจมูกเทคนิคโอเพ่นรายแรกๆ ในประเทศไทย และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายด้านความงามหลายครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแก้จมูก การทำจมูกเทคนิคโอเพ่น โดย YKJ Medical Center ได้รับรางวัลมากมาย อาทิเช่น
- “THE MOST TRUSTED OPEN TECHNIQUE RHINOPLASTY SPECIALIST 2023” คลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด ในการทำศัลยกรรมจมูกโอเพ่นในประเทศไทย จาก HELLO! MAGAZINE ประจำปี 2023
- “THE BEST OF OPEN RECONSTRUCTION RHINOPLASTY” คลินิกยืน 1 ด้านการแก้จมูก และทำจมูกจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น จากสุดสัปดาห์ ประจำปี 2022 – 2023 สองปีซ้อน
- “Customer High Recognition Award 2023” รางวัลคลินิกที่มียอดใช้ผลิตภัณฑ์ Galderma (Filler Restylane) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ประจำปี 2023
นอกจากคุณหมอกันแล้ว YKJ Medical Center ยังมีแพทย์มากประสบการณ์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน สามารถมั่นใจได้เลยว่าเมื่อมาที่ YKJ Medical Center แล้ว จะได้รับมาตรฐานการดูแลรักษาที่ดี ในราคาที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
บทความ : ฉีดไขมันหน้า ฉีดไขมันหน้าเด็ก กี่วันหายบวม?
รีวิว : เติมไขมันหน้ากับหมอกัน หน้าเด็กลงเป็น 10 ปี
บทความ : ฉีดไขมันหน้า ช่วยทำให้หน้าเด็ก อ่อนเยาว์จริงเหรอ?