รวมวิธีรักษาหลุมสิวได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง

หลุมสิว

หนึ่งในปัญหาผิวหน้าที่ใครหลายคนกำลังประสบอยู่ และแก้ไขยากพอสมควรนั่นก็คือปัญหาหลุมสิว แม้ว่าจะเป็นหลุมเล็กหรือหลุมใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาใบหน้าตามมามากมาย แถมยังสร้างจุดด่างดำบนใบหน้า ทำเอาหลายคนสูญเสียความมั่นใจลงอีกด้วย วันนี้หมอกันจะมาพูดถึงต้นตอและประเภทของหลุมสิว รวมถึงวิธีรักษาง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้ด้วยตัวเอง ว่าแต่จะมีวิธีไหนบ้าง มาอ่านไปพร้อมกันเลยครับ

สยบปัญหาหลุมสิว ให้จบครบในที่เดียว-วิธีการรักษาหลุมสิว-การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ-การรักษาด้วยวิธีโดยการใช้เข็ม-รักษาหลุมสิวด้วย Derma Stamp-ฟิลเลอร์ (Filler)-เมโสหลุมสิว-Subcision-การรักษาด้วยวิธีการเลเซอร์-Pico Laser-Fraxell-Fractora

ปัญหาหลุมสิวเกิดจากอะไร

หลุมสิวเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังที่ไม่สมบูรณ์หลังจากเกิดปัญหาสิวอักเสบอย่างรุนแรง, สิวอุดตัน, สิวหัวหนองและสิวหัวช้างที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวบริเวณที่เป็นสิวยุบลง โดยทั่วไปหลังจากสิวหายร่างกายจะสร้างคอลลาเจนบริเวณที่เกิดสิวภายใน 7-10 วัน แต่หากกระบวนการดังกล่าวไม่สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ไม่เพียงพอต่อปริมาณคอลลาเจนที่ถูกทำลายไป จะทำให้เนื้อเยื่อหดรัดตัว เกิดเป็นรอยแผลและหลุมสิวตามมา นอกจากนี้ยังเกิดจากการแกะหรือดึงสิวออก ทำให้หลุมยุบตัวลงลึกไปถึงชั้นผิวจนทำลายผิวบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น โดยสิวที่ทำให้เกิดปัญหาหลุมสิวมากที่สุด ได้แก่

  • สิวอักเสบ หลังจากเกิดสิวอักเสบขึ้นแล้วจะมีหนองตามมา ซึ่งหนองที่ว่าจะทำลายทั้งผิวหนังและคอลลาเจนที่อยู่ในผิว แม้ว่าสิวจะหายแล้วก็ตามแต่ร่างกายยังคงสร้างพังผืดเป็นหลุมสิวเพื่อรักษาแผล
  • สิวหัวช้าง เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ตัวสิวมีลักษณะเป็นตุ่มบวม หากกดหรือสัมผัสจะรู้สึกเหมือนเม็ดไตแข็ง ๆ หากรักษาผิดวิธีอาจเกิดการอักเสบและเกิดหลุมสิวตามมา
  • สิวเป็นไต เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นไตแข็ง ๆ นูนแดงคล้ายสิวหัวช้างแต่เล็กกว่า เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปถึงชั้นใต้ผิว สิวชนิดนี้สามารถพบได้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้า, หน้าอก และแผ่นหลัง

หลุมสิวมีกี่แบบ อะไรบ้าง

รักษาหลุมสิว

  • Rolling scar เป็นหลุมสิวที่มีรอยแผลลึกลงไปถึงชั้นใต้ผิว ก้นหลุมโค้งลึกคล้ายก้นกระทะ ผิวหนังบริเวณที่มีรอยแผลมีรูปทรงคล้ายคลื่น ปัญหานี้เกิดจากเนื้อเยื่อพังผืดดึงรั้งชั้นหนังแท้ไปจนถึงชั้นเนื้อใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่มีขนาดกว้างมากกว่า 4-5 มิลลิเมตร
  • Boxcar Scar เป็นหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ลักษณะปากหลุมและก้นหลุมกว้างพอกัน ส่วนขอบหลุมสิวมีความชัน เห็นได้ชัด มีทั้งแผลตื้นและแผลลึก รูปทรงของหลุมเป็นทรงกลมหรือทรงรี
  • Ice-pick Scar เป็นหลุมสิวที่รักษายากที่สุด มีลักษณะเป็นรอยแผลลึก ปากแผลแคบไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ก้นแผลแหลมคล้ายกรวย หลุมสิวอาจลึกถึงชั้นหนังกำพร้าหรือเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่พบบริเวณแก้ม ปัญหาจากหลุมสิวประเภทนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ รอยแผลชนิดตื้น (Shallow Scar) มีความลึกประมาณ 0.1-0.5 มิลลิเมตร ส่วนรอยแผลเป็นชนิดลึก (Deep Scar) มีความลึกประมาณ 0.5 มิลลิเมตร หรือมากกว่านั้น

วิธีรักษาหลุมสิวได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง

ว่านหางจระเข้

1. พอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้

นำว่านหางจระเข้มาแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที จนยางเหลืองออก ปลอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นนำวุ้นใสของว่านมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยล้างออก ข้อดีของว่านหางจระเข้คือสารอะลอคติน เอ (Aloctin a) ซึ่งเป็นสารที่สลายตัวง่าย มีฤทธิ์ช่วยรักษาอาการอักเสบและระคายเคืองต่อผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยให้หลุมสิวค่อย ๆ ตื้นขึ้น

2. พอกหน้าด้วยใบบัวบก

นำใบบัวบกจำนวน 1 กำมือมาคั้นหรือบดให้เข้ากัน (ใช้แบบแยกน้ำหรือใช้กากก็ได้เช่นกัน) จากนั้นพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที เนื่องจากใบบัวบกอุดมไปด้วยสารกลูโคไซด์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ทั้งนี้อาจดื่มน้ำใบบัวบกร่วมด้วยเพื่อเสริมสารกลูโคไซด์ในร่างกายให้เพิ่มขึ้น

3. พอกหน้าด้วยมะละกอสุก

นำมะละกอสุกมายีจนละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้าประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยล้างออก เนื่องจากมะละกออุดมไปด้วยเอนไซม์ที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสมานแผลบนผิวหน้า ช่วยย่อยคอลลาเจนให้เร็วขึ้นเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้สร้างเซลล์ใหม่เร็วขึ้น

4. ทาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น

หลังจากล้างหน้าก่อนนอนแล้ว นำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาทาให้ทั่วใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้จนเช้าโดยไม่ต้องล้างออก เพราะน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริกที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้รอยหลุมสิวอ่อนนุ่มและตื้นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้นด้วย

5. ทายารักษาสิว

แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ยาทา และยาทาน

  • ยาทา เป็นยาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวหนังด้านบนให้หลุดและซ่อมแซมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น รวมถึงลดรอยแดงและรอยดำด้วย ได้แก่ กรดวิตามิน A, เรติน-เอ (Retin A), สารละลายกรดไตรคลอโรอะเซติก (TCA), สารสกัดจากผลไม้ (AHA), ซาลิไซลิก (BHA) และกรดโพลีไฮดรอกซี (PHA) ทั้งนี้อาจต้องระมัดระวังการระคายเคืองจากการใช้ยาทาที่มีความเข้มข้นสูง
  • ยาทาน เป็นยาที่สกัดจากสารในกลุ่มเบต้าแคโรทีน (Beta carotene) ที่พบได้ตามธรรมชาติ ทำหน้าที่กระตุ้นคอลลาเจนให้สร้างผิวใหม่เพื่อเติมเต็มรอยหลุมให้ตื้นขึ้น อีกทั้งช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าอีกด้วย ทั้งนี้ควรระวังผลข้างเคียงจากยาที่อาจมีผลต่อไขมันในร่างกาย จึงจำเป็นต้องทานภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

มีวิธีรักษาแบบอื่นที่เห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจนบ้างไหม?

สยบปัญหาหลุมสิว ให้จบครบในที่เดียว-วิธีการรักษาหลุมสิว-การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ-การรักษาด้วยวิธีโดยการใช้เข็ม-รักษาหลุมสิวด้วย Derma Stamp-ฟิลเลอร์ (Filler)-เมโสหลุมสิว-Subcision-การรักษาด้วยวิธีการเลเซอร์-Pico Laser-Fraxell-Fractora

1. Pico Laser

เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวรุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่มเครื่องเลเซอร์ YAG ที่ได้รับการพัฒนาให้ระบบทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นเดิม เลเซอร์ทำงานด้วยคลื่นแสงความถี่สูง ปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาในช่วงเวลาสั้น ๆ  ส่งผลให้คนไข้รู้สึกระคายเคืองและเจ็บน้อยมากขณะเข้ารับการรักษา ข้อดีของการรักษาประเภทนี้คือเห็นผลเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษาประมาณ 20-30% อีกทั้งใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าเครื่องรุ่นเดิม, มีผลข้างเคียงและระยะเวลาพักฟื้นน้อยมาก แถมยังไม่มีแผลหลังการรักษาอีกด้วย

หลังจากยิงเลเซอร์ไปแล้วประมาณ 3-7 วันจะค่อย ๆ เห็นผลที่ดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นคนไข้จึงควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากช่วยรักษาหลุมสิวแล้ว Pico ยังช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นด้วย ทั้งนี้ระหว่างการรักษาอาจรู้สึกเจ็บหรือมีรอยแดงเล็กน้อย ซึ่งรอยดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 1-2 ชั่วโมง ระหว่างนี้หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่โดนแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 1 สัปดาห์

2. Fractora

เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวโดยการปล่อยคลื่นพลังงานจากปลายเข็มลงไปยังใต้ชั้นผิวหนังแท้ที่มีระดับความลึกประมาณ 1 มิลลิเมตร เพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งหลุมสิวและปล่อยพลังงานคลื่น RE เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ดังนั้นคนไข้จึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา แต่ร่างกายจะซ่อมแซมผิวที่บาดเจ็บและสมานแผลไปเองตามกลไลของธรรมชาติ เพื่อให้เกิดการสร้างผิวขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวบริเวณหลุมสิวถูกเติมเต็มให้ตื้นขึ้น ข้อเสียของการรักษาประเภทนี้อาจมีรอยแดงขนาดเล็กและมีผิวตกสะเก็ด จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นและไม่ต้องการให้ผิวมีแผลหลังทำ โดยทั่วไปอาจใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-6 ครั้ง และควรเว้นระยะการยิงเลเซอร์แต่ละครั้งตามดุลยพินิจของแพทย์เพื่อให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพสูงสุด

3. Fractional Sellas

เป็นเลเซอร์ที่รักษาตามประเภทของหัวเลเซอร์ที่มีมากกว่า 50 แบบ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าที่มีปัญหาของคนไข้ หัวเลเซอร์สามารถปรับให้เท่ากับขนาดแผลเพื่อให้เหมาะกับการใช้พลังงานสูง ๆ เพื่อรักษาหลุมสิวได้ดีโดยที่ไม่มีผลกระทบไปยังบริเวณโดยรอบแผลแต่อย่างใด ส่วนสภาพผิวหน้าหลังการรักษาจะมีสีออกชมพูไปจนถึงแดงจัด (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) บางคนอาจมีเพียงแค่อาการบวมเล็กน้อยประมาณ 3-7 วันเท่านั้น โดยเซลล์ผิวใหม่จะถูกสร้างมาทดแทนหลังจากยิงเลเซอร์ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเซลล์เก่าจะลอกหลุดเป็นจุดน้ำตาลเล็ก และค่อย ๆ หลุดออกจนเหลือแต่เพียงผิวสวยภายใน 5-10 วัน ทั้งนี้หากคนไข้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-4 อาทิตย์ หลุมสิวหรือรอยแผลเป็นจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ

ป้องกันไม่ให้เกิดหลุมได้อย่างไรบ้าง

รักษาหลุมสิว

1. ทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธี

นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าสะอาดปราศจากสิวเสี้ยนแล้ว การทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้นและถนอมผิวหน้าของเราให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยช้าลงอีกด้วย โดยวิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องเริ่มจากการล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ไม่ควรใช้น้ำร้อนและน้ำอุ่น เพราะจะทำให้ใบหน้าสูญเสียความชุมชื้นและแห้งง่ายขึ้น, ไม่ใช้โฟมหรือเจลล้างหน้าโดยตรง ต้องผสมกับน้ำสะอาดลงบนฝ่ามือเล็กน้อยก่อนถูบนใบหน้าอย่างเบามือและไม่ถูนานจนเกินไป เพื่อป้องกันการระคายเคืองจากการทำความสะอาดใบหน้าและก่อให้เกิดสิวตามมา จากนั้นจึงเช็ดหน้าให้แห้งและทาครีมบำรุงผิวทันที

2. งดทานอาหารที่ก่อให้เกิดสิว

แม้ว่าอาหารทุกประเภทจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่การทานอาหารบางประเภทในปริมาณที่มากเกินไป อาจก่อให้เกิดสิวขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็น

  • อาหารประเภทน้ำตาล ได้แก่ ช็อกโกแลต, ลูกอม, น้ำหวาน ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอิซูลินขึ้นมาเพื่อลดภาวะน้ำตาลเกิน ทำให้ร่างกายผลิตไขมันเพิ่มขึ้นและก่อให้เกิดสิว
  • ผลิตภัณฑ์จากนมวัว ได้แก่ นม, โยเกิร์ต และชีส อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต, โอเมก้า 6 และไอโอดีน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดสิว
  • โซเดียม ได้แก่ อาหารแปรรูป, อาหารกระป๋อง และซอสปรุงรส ทำให้ร่างกายขับทิ้งของเสียผ่านทางรูขุมขน ซึ่งระคายเคืองต่อผิวและทำให้เกิดสิว
  • อาหารรสเผ็ด ได้แก่ ต้มยำกุ้ง, ผัดพริกแกง, ส้มตำ ทำให้ร่างกายสูบฉีดเลือดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นต่อมเหงื่อและต่อมไขมันให้ทำงานหนักขึ้น จนระคายเคืองต่อผิว
  • ของมันและของทอด ได้แก่ ข้าวมันไก่, ข้าวขาหมู, หมูทอด, เฟรนช์ฟรายส์, แฮมเบอร์เกอร์ อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบและสิวอุดตัน
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ ไวน์, เบียร์, บรั่นดี ทำให้ร่างกายต้องขับแอลกอฮอล์ออกทางผิวหนังเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวจนเกิดสิว

3. ล้างหน้าลบเครื่องสำอางทุกครั้งก่อนนอน

การนอนหลับโดยไม่ลบเครื่องสำอางออก นอกจากจะทำให้เครื่องสำอางเปรอะเปื้อนตามหมอนและผ้าปูที่นอนแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพผิวหน้าของเราโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น

  • สิวอุดตัน เนื่องจากผิวหนังไม่ได้รับอากาศถ่ายเท จึงเกิดสิ่งสกปรกสะสมบนผิวหน้าและเกิดสิวอุดตัน
  • ผิวแห้ง เนื่องจากเครื่องสำอางและความมันบนใบหน้าปกคลุมชั้นผิว ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น
  • ผิวหมองคล้ำ เนื่องจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วถูกสะสมบนผิวหน้า ผิวหน้าจึงดูหมอง ไม่กระจ่างใส
  • ผิวแก่ก่อนวัย เนื่องจากผิวหน้าไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ตามกลไกลธรรมชาติ ทำให้เกิดริ้วรอยและตีนกา
  • ผิวหนังอักเสบ เมื่อผิวหน้าไม่แข็งแรง ย่อมเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรกและก่อให้เกิดการติดเชื้อตามมา

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าและเกิดสิวตามมา

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละออง

การอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมาก ไม่ว่าจะเป็นท้องถนนที่มีการจราจรหนาแน่น, โรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันเสียออกมา, พื้นที่ก่อสร้าง นอกจากจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าแล้ว ยังมีผลต่อระบบหายใจตามมาด้วย ทั้งอาการไอจาม, แสบจมูกน้ำมูกไหล, หอบหืดหายใจลำบาก หากรุนแรงอาจถึงขั้น หัวใจวายเฉียบพลันและหลอดเลือดสมองตีบ หากปล่อยไว้ในระยะยาวอาจอันตรายถึงขั้นเป็นโรคมะเร็งปอดอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลเสี่ยงอย่างเด็ก, สตรีมีครรภ์, ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดและหัวใจ จะต้องหลีกเลี่ยงพื้นที่เหล่านี้เป็นพิเศษ แต่หากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ควรสวมหน้ากากอนามัย, ดื่มน้ำให้มากเพื่อให้ร่างกายขับสิ่งปนเปื้อนจากอากาศออกให้มากที่สุด รวมถึงงดสูบบุหรี่ในกรณีที่เป็นผู้สูบบุหรี่

5. งดการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ

เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ที่สัมผัสใบหน้าอาจมีสิ่งสกปรกติดมาด้วย โดยเฉพาะนิ้วมือที่ต้องหยิบจับสิ่งต่าง ๆ ที่อาจมีเชื้อโรคติดมาด้วย รวมถึงเล็บซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคแม้ว่าจะล้างมือให้สะอาดแล้วก็ตาม ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ จะช่วยลดโอกาสเกิดหลุมสิวได้ด้วย

6. รักษาสิวให้เร็วที่สุด

แม้ว่าเราจะดูแลใบหน้าดีแค่ไหน แต่สิวก็อาจเกิดขึ้นได้เหมือนกัน เมื่อมีสิวโผล่ขึ้นมาแล้ว ทางที่ดีคุณควรรักษาสิวโดยเร็วที่สุดและรักษาให้ถูกวิธี หากคุณไม่มั่นใจแนะนำให้รีบไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรักษาโดยด่วน ก่อนที่จะลุกลามไปจนถึงชั้นผิวหนัง ทั้งนี้ห้ามแคะ, แกะ, บีบสิวเองเด็ดขาด เพราะจะทำให้สิวอักเสบมากกว่าเดิม อย่าลืมนะครับว่าสิวยิ่งอักเสบมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะทำให้เกิดหลุมสิวได้มากเท่านั้น ส่งผลให้คอลลาเจนถูกทำลายมากกว่าเดิม กระบวนการสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่จึงต้องใช้เวลาเยอะและรักษายากมากขึ้น

YKJ Medical Center ยืน 1 ด้านศัลยกรรม เสริมความงาม

โดยหมอกัน อาจารย์แพทย์ด้านการทำจมูกเทคนิคโอเพ่น และการปรับรูปหน้าระดับนานาชาติ

YKJ Medical Center (ชื่อเดิม “ธีระธรฌ์คลินิก”) ก่อตั้งโดยคุณหมอกัน นพ. รัฐรุจน์ บารมีไชยภัสร์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านศัลยกรรมความงามและการปรับรูปหน้าระดับนานาชาติ ประสบการณ์กว่า 20 ปี โดดเด่นในหลากหลายหัตถการ เช่น เสริมจมูกโอเพ่น , ทำตาสองชั้น , ดึงหน้า , เสริมหน้าอก , ฉีดฟิลเลอร์ และอื่นๆ

คุณหมอกันเป็นผู้บุกเบิกการทำจมูกเทคนิคโอเพ่นรายแรกๆ ในประเทศไทย และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายด้านความงามหลายครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแก้จมูก การทำจมูกเทคนิคโอเพ่น โดย YKJ Medical Center ได้รับรางวัลมากมาย อาทิเช่น

  • “THE MOST TRUSTED OPEN TECHNIQUE RHINOPLASTY SPECIALIST 2023” คลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด ในการทำศัลยกรรมจมูกโอเพ่นในประเทศไทย จาก HELLO! MAGAZINE ประจำปี 2023
  • “THE BEST OF OPEN RECONSTRUCTION RHINOPLASTY” คลินิกยืน 1 ด้านการแก้จมูก และทำจมูกจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น จากสุดสัปดาห์ ประจำปี 2022 – 2023 สองปีซ้อน
  • “Customer High Recognition Award 2023” รางวัลคลินิกที่มียอดใช้ผลิตภัณฑ์ Galderma (Filler Restylane) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ประจำปี 2023

นอกจากคุณหมอกันแล้ว YKJ Medical Center ยังมีแพทย์มากประสบการณ์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน สามารถมั่นใจได้เลยว่าเมื่อมาที่ YKJ Medical Center แล้ว จะได้รับมาตรฐานการดูแลรักษาที่ดี ในราคาที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน

คลิกจองคิวหรือปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

โทรปรึกษา
home หน้าแรก promotion โปรโมชั่น tel ปรึกษาฟรี line ปรึกษาฟรี