เนื่องด้วยวิถีชีวิตในปัจจุบันที่ทำให้ใครหลายคนมีใบหน้าหมองคล้ำจากกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ และหากคุณปล่อยไว้นานวันเข้า ก็ยิ่งทวีคูณปัญหาที่ตามมาจนยากต่อการรักษาในระยะยาว เสียทั้งเงิน, เวลา และสุขภาพจิตอีกด้วย วันนี้หมอกันจะมาแนะนำวิธีดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้หน้าโทรม หมองคล้ำไปจากเดิม เพราะนอกจากจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นสุขภาพดีแล้ว ยังเพิ่มความมั่นใจให้ตัวคุณเองมากยิ่งขึ้นด้วย
หน้าโทรม หมองคล้ำคืออะไร ทำไมถึงต้องแก้โดยด่วน
เป็นปัญหาใบหน้าที่ขาดความกระจ่างใส ดูหมองคล้ำ สังเกตได้จากสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ รวมถึงผิวแห้งร่วมด้วย หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษาอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวหน้าอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหน้ามัน, สิวเสี้ยน, ริ้วรอยบนใบหน้า ฯลฯ ซึ่งปัญหานี้สามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองแต่อาจต้องใช้ระยะเวลาที่นาน หรืออาจพึ่งการรักษาของแพทย์ก็ได้เช่นกัน ปัญหาหน้าหมองสังเกตได้จากสีผิวไม่สม่ำเสมอกันในแต่ละจุดของใบหน้า, มีฝ้าแดด กระ จุดด่างดำ, ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น, ผิวหนังลอกหลุดง่าย รู้สึกคันบริเวณผิวที่ถูกทำลาย และรู้สึกแสบร้อนหรือเกิดรอยแดงบนใบหน้า
ใบหน้าหมองคล้ำเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
- อายุเพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจึงผลิตไขมันน้อยลง ส่งผลให้ผิวขาดน้ำและแห้งง่าย รวมถึงสารคอลลาเจนในร่างกายก็เสื่อมถอยลงตามวัย ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึงเหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะช่วงอายุ 30-40 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง รวมถึงมีการผลัดเซลล์ผิวที่ทำงานช้าลงนั่นเอง
- แสงแดด ประกอบด้วยรังสี UV (อัลตราไวโอเลต) เป็นรังสีที่มีช่วงของคลื่นยาว มีผลทำร้ายผิวลึกจนผิวคล้ำเสีย หน้าหมองคล้ำ หากรุนแรงอาจทำให้ผิวไหม้แดดและกระตุ้นการผลิตเม็ดสีในผิวหนังจนเกิดเป็นฝ้าแดดในระยะยาวอีกด้วย
- มลภาวะ ไม่ว่าจะเป็นควันจากท่อไอเสีย, ฝุ่นละออง หรือแม้แต่ฝุ่น PM2.5 ก็ตาม สามารถเกาะติดอยู่บนผิวหน้าและทำร้ายเซลล์ผิวภายใน ทำให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวหน้าหมองคล้ำลง
- ดื่มน้ำไม่เพียงพอ เมื่อดื่มน้ำในปริมาณที่น้อยกว่าความต้องการร่างกาย จะทำให้ผิวหนังมีน้ำอยู่ใต้ชั้นผิวหนังน้อยและเข้าสู่สภาวะขาดน้ำ ผิวจึงหมองคล้ำลง หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้ริ้วรอยที่ผิวเด่นชัดขึ้นโดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม และริมฝีปาก
- ความเครียด เมื่อเราเครียด ร่างกายจะผลิตไขมันออกมามากขึ้น ทำให้ไขมันในร่างกายไปผสมกับแบคทีเรียและเซลล์ผิวที่ตายจนอุดตันรูขุมขนและเกิดสิว นอกจากนี้ร่างกายจะส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง, หัวใจ, ปอด และตับน้อยลง ส่งผลให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำง่ายขึ้น
- นอนดึก นอกจากจะทำให้ร่างกายขาดความกระปรี้กระเปร่าแล้ว การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอยังส่งผลให้ร่างกายฟื้นฟูซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในเซลล์น้อยลง ก่อให้เกิดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพสะสมในร่างกาย ผิวหน้าไม่ชุ่มชื้นดังเดิม ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันเพื่อเคลือบผิวชั้นนอกและเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้า ส่งผลให้หน้าโทรม หมองคล้ำมากยิ่งขึ้น
- สูบบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เส้นเลือดของผิวหนังเกิดการตีบตัน เลือดจึงไม่ไหลเวียน ส่งผลให้ผิวแห้ง หมองคล้ำจากเดิม และเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยลง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและแห้งกร้านมากยิ่งขึ้น
ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้หน้าโทรม หมองคล้ำ
1. ทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธี
การทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธีจะช่วยถนอมผิวหน้าของเราให้ชุ่มชื้นและชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยชรา โดยวิธีทำความสะอาดใบหน้าที่ถูกต้องเริ่มจากล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดในอุณหภูมิเหมาะสม ไม่ควรเป็นน้ำที่อุ่นหรือร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ใบหน้าแห้งง่าย, ผสมเจลหรือครีมล้างหน้าให้เข้ากับน้ำสะอาดเล็กน้อยก่อนเทลงฝ่ามือทุกครั้ง จากนั้นจึงถูบนใบหน้าเบา ๆ และไม่ควรถูนานจนเกินไป เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองบนใบหน้าจนทำให้ผิวหน้าโทรมลง จากนั้นเช็ดหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนนุ่มและทาครีมบำรุงผิวทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของครีมให้มากยิ่งขึ้น
2. ล้างหน้าด้วยเครื่องสำอางทุกครั้งก่อนนอน
การนอนหลับโดยไม่ลบเครื่องสำอางออก นอกจากจะทำให้เครื่องสำอางเปรอะเปื้อนตามหมอนและผ้าปูที่นอนแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพผิวหน้าของเราโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น
- สิวอุดตัน เนื่องจากผิวหนังไม่ได้รับอากาศถ่ายเท จึงเกิดสิ่งสกปรกสะสมบนผิวหน้าและเกิดสิวอุดตัน
- ผิวแห้ง เนื่องจากเครื่องสำอางและความมันบนใบหน้าปกคลุมชั้นผิว ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น
- ผิวหมองคล้ำ เนื่องจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วถูกสะสมบนผิวหน้า ผิวหน้าจึงดูหมอง ไม่กระจ่างใส
- ผิวแก่ก่อนวัย เนื่องจากผิวหน้าไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ตามกลไกลธรรมชาติ ทำให้เกิดริ้วรอยและตีนกา
- ผิวหนังอักเสบ เมื่อผิวหน้าไม่แข็งแรง ย่อมเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรกและก่อให้เกิดการติดเชื้อตามมา
3. ทานอาหารบำรุงผิวหน้า
- มะเขือเทศ อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามิน C ช่วยป้องกันผิวของเราจากรังสีในแสงแดดที่ก่อให้เกิดรอยเหี่ยวย่นและผิวไหม้แดด
- บรอกโคลี อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามิน A และ C , ซัลโฟราเฟน และซิงค์ ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ในแสงแดด อีกทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันผิวจากการเสื่อมสภาพตามช่วงวัย ช่วยรักษาคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดียิ่งขึ้น
- ถั่วเหลือง อุดมไปด้วยสารไอโซฟลาโวน ช่วยลดเลือนริ้วรอยและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหน้า แก้ปัญหาผิวแห้ง อีกทั้งช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ในแสงแดด
- เมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามิน E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกันผิวหนังเสื่อม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สดใสไม่โทรม
- อะโวคาโด อุดมไปด้วยไขมันดีที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังมีวิตามิน C และ E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นฟูผิวไม่ให้เสื่อมสภาพ อีกทั้งเสริมสร้างคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ดูไม่โทรม
- ถั่ววอลนัท อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ 6 ในปริมาณสูงหากเทียบกับถั่วชนิดอื่น ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบบนผิวหนัง และช่วยให้ผิวหน้าสุขภาพดีขึ้น ทั้งนี้ควรรับประทานถั่ววอลนัทในปริมาณที่พอดี เพื่อป้องกันน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นด้วย
4. ยิงเลเซอร์ Pico Laser
Pico เป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนวิธีการทำงานของเลเซอร์ด้วยคลื่นแสงความถี่สูงสำหรับทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ หลักการทำงานนั้นจะอาศัยการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง (Photoacoustic) เพื่อทำลายเม็ดสีโดยไม่ก่อให้เกิดความร้อน (Selective Photothermolysis) ต่อใบหน้าของคนไข้ นอกจากทำลายเม็ดสีแล้วยังกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนใหม่ในผิวชั้นลึกจำนวนมาก ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียน ริ้วรอยลดลง และกระชับรูขุมขนไปพร้อมกัน ทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ Pico Laser สามารถรักษารอยแผลเป็นและหลุมสิว ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสได้อีกด้วย
โดยหมอกันจะทำความสะอาดผิวหน้าคนไข้ก่อนรักษา จากนั้นใส่ที่ครอบดวงตาเพื่อป้องกันแสงกระทบ โดยที่มีพนักงานเป่าลมเย็นไปด้วยระหว่างที่หมอกันยิงเลเซอร์ ทั้งนี้ผลการรักษาขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหน้าแต่ละบุคคล ทั้งความเข้มและความหนาของฝ้า, กระ และจุดด่างดำ ที่สำคัญควรรักษาอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 2 สัปดาห์ จำนวน 3-10 ครั้ง
5. Meso Arbutin
หมอกันจะใช้ Meso Therapy ที่มีตัวยาสูตรเฉพาะเข้มข้น (Alpha-Arbutin) ในปริมาณที่เหมาะสมและผสมเข้าไปในเมโส โดยจะฉีดตัวยาเข้าไปใต้ผิวหนังของคนไข้โดยตรง เพื่อให้ยาซึมซาบเข้าสู่ผิวทันที เพื่อไปกระตุ้นให้ผิวยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินตั้งแต่ต้นทาง ลดการสร้างเม็ดสีที่แตกต่างบนผิวหนัง ซึ่งจะช่วยลดความหมองคล้ำ, ลดเลือนจุดด่างดำ, ฝ้า และกระบนใบหน้า
โดยหมอกันจะเตรียมตัวยาและฉีดตามจุดต่าง ๆ จนทั่วใบหน้า เพื่อให้ตัวยากระจายตัว ส่วนผลการรักษาจะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหน้าแต่ละบุคคล ซึ่งจะเห็นผลการรักษาตั้งแต่ครั้งที่ 1-2 ที่สำคัญควรรักษาอย่างต่อเนื่องทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ฝ้า, กระ และจุดด่างดำดูจางลง ช่วยให้ผิวขาวใสมากขึ้นตามแผนการรักษา
YKJ Medical Center (ชื่อเดิม “ธีระธรฌ์คลินิก”) ก่อตั้งโดยคุณหมอกัน นพ. รัฐรุจน์ บารมีไชยภัสร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามและการปรับรูปหน้าระดับนานาชาติ ประสบการณ์กว่า 20 ปี ชำนาญในหลากหลายหัตถการ เช่น จมูกโอเพ่น, ตาสองชั้น, ดึงหน้า, ทำหน้าอก, ฉีดฟิลเลอร์ และอื่นๆ
คุณหมอกันเป็นผู้บุกเบิกการทำจมูกเทคนิคโอเพ่นรายแรกๆ ในประเทศไทย และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายด้านความงามหลายครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแก้จมูก การทำจมูกเทคนิคโอเพ่น โดย YKJ Medical Center ได้รับรางวัลมากมาย อาทิเช่น
- “THE MOST TRUSTED OPEN TECHNIQUE RHINOPLASTY SPECIALIST 2023” คลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด ในการทำศัลยกรรมจมูกโอเพ่นในประเทศไทย จาก HELLO! MAGAZINE
- “THE BEST OF OPEN RECONSTRUCTION RHINOPLASTY” คลินิกอันดับ 1 ด้านการแก้จมูก และทำจมูกจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น จากสุดสัปดาห์ ประจำปี 2022 – 2023 สองปีซ้อน
- “Customer High Recognition Award 2023” รางวัลคลินิกที่มียอดใช้ผลิตภัณฑ์ Galderma (Filler Restylane) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
นอกจากคุณหมอกันแล้ว คลินิกยังมีทีมแพทย์มากประสบการณ์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะทาง และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มั่นใจได้เลยว่าเมื่อคุณมาที่ YKJ Medical Center แล้ว คุณจะได้รับมาตรฐานการดูแลรักษาที่ดีที่สุด ในราคาที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน