การเติมร่องแก้มด้วยฟิลเลอร์เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยลดปัญหาริ้วรอยได้เป็นอย่างดี แล้วการฉีดฟิลเลอร์มีขั้นตอนมากน้อยแค่ไหน มีข้อดีอย่างไรบ้าง มาอ่านไปพร้อมกันเลยครับ
ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์เติมร่องแก้ม
ปัญหาร่องแก้มเกิดจากสารคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่บริเวณใต้ผิวผลิตลดลงตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังไม่เต่งตึงเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ร่องแก้มยุบตัวลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังเกิดจากกระดูกบริเวณร่องแก้มโดยตรงยุบตัว, กระดูกใต้ตายุบตัวจนเนื้อแก้มด้านบนหย่อนคล้อยลงมารวมกันบริเวณเหนือร่องแก้ม, การแสดงสีหน้าบ่อยเกินไปจนทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการดึงร่องแก้มแข็งแรงเกินไป กลายเป็นริ้วรอยข้างแก้มและร่องมุมปาก รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นอนดึก สูบบุหรี่ และการอยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหามลภาวะต่าง ๆ ทำให้ใครหลายคนสูญเสียความมั่นใจเวลาแสดงออกทางสีหน้า แม้ว่าหลายคนจะเลือกแก้ปัญหาร่องแก้มลึกด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป แต่วิธีที่ได้ผลดีที่สุดและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำก็คือการฉีดฟิลเลอร์เติมร่องแก้มนั่นเอง โดยการฉีดฟิลเลอร์เป็นการใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าไปบริเวณใต้ผิวหนังชั้นลึกเพื่อให้ผิวที่ร่องแก้มกลับมาเต่งตึงขึ้น เป็นวิธีการรักษาใบหน้าที่มีผลข้างเคียงน้อยหากเทียบกับการศัลยกรรมดึงหน้า ส่วนผลการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์นั้นจะเห็นผลทันทีและสามารถอยู่ได้นานถึง 6 เดือน
ข้อดีที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ใบหน้าดูเด็กลงทันทีหลังจากการฉีด
- ยกกระชับใบหน้า ร่องแก้มดูตื้นขึ้น
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ชุ่มชื้นขึ้น
- ลดริ้วรอยขนาดเล็ก ผิวตึงและเรียบเนียนมากขึ้น
- ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ต้องพักฟื้น
- ไม่มีแผล ไม่มีรอยแผลเป็น
- ไม่มีสารตกค้างหลังจากฟิลเลอร์สลายจนหมด
ฉีดฟิลเลอร์ที่ร่องแก้ม อันตรายไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ที่ร่องแก้มจะเป็นอันตรายก็ต่อเมื่อ…
- แพทย์ที่ฉีดไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ เนื่องจากมีการผลิตฟิลเลอร์ในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก แพทย์จึงต้องเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะกับผิวบริเวณที่ฉีด หากฉีดฟิลเลอร์ที่มีความละเอียดของโมเลกุลขนาดใหญ่เกินไปในบริเวณที่มีผิวบางโดยเฉพาะบริเวณร่องแก้ม อาจส่งผลให้ผิวบริเวณที่ฉีดหน่วงและเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่นบนใบหน้าได้อีกด้วย
- ใช้ฟิลเลอร์ผิดประเภท หากแพทย์ไม่มีประสบการณ์มากพอทำการประเมินและฉีดฟิลเลอร์ผิดจุด อาจส่งผลให้ปัญหายิ่งแย่ลง ร่องแก้มลึกขึ้นกว่าเดิม
- ใช้ฟิลเลอร์ปลอม ได้แก่ ซิลิโคนเหลว น้ำมันพาราฟิน ไบโอพลาสติก ซึ่งเป็นสารที่ทำมาจากพลาสติกที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมเท่านั้น หากถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมได้และตกค้างอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังอาจเคลื่อนไปยังตำแหน่งอื่นบนใบหน้า หากรุนแรงมากอาจจับตัวเป็นก้อนและเกิดการอักเสบ จนเป็นอันตรายถึงชีวิต
ฟิลเลอร์ปลอม ดูอย่างไร? ทำยังไงถึงจะไม่โดนหลอก
เตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้ม
- ช่วง 1 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดยาแอสไพริน, วิตามิน E, ยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว เช่น Retin-A, Glycolic Acid, ครีมในกลุ่ม Anti-aging, งดกำจัดขนหรือผลัดเซลล์ผิวในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงงดนวดหน้าหรือเลเซอร์ อย่างน้อย 3 วัน นอกจากนี้อย่าลืมแจ้งข้อมูลการแพ้ยาให้แพทย์ทราบล่วงหน้าทุกครั้ง
- ช่วง 1 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด ได้แก่ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและการอบซาวน่า
- 30 นาทีก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะให้ทานยาห้ามเลือด, ฉีดยาลดบวมและทานยาปฏิชีวนะ (สำหรับคนไข้บางราย) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อตามดุลยพินิจของแพทย์
การฉีดฟิลเลอร์มีกี่แบบ อะไรบ้าง
- การฉีดหนุนบริเวณกระดูกร่องแก้ม โดยแพทย์จะฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้น แต่หากคนไข้มีเนื้อใต้ตาจำนวนมาก แถมกระดูกร่องแก้มยังเสื่อมสภาพลง แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์เข้าไปหนุนร่องลึกเพื่อดึงผิวหนังให้ตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
- การฉีดที่ร่องแก้มโดยตรง จะใช้แก้ปัญหาสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาร่องแก้ม ริ้วรอย รอยย่น รอยพับบนใบหน้าแบบกำหนดบริเวณที่ต้องฉีด เพื่อการแก้ปัญหาร่องลึกที่ตรงจุด
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้ม
- หลังจากนัดปรึกษาและให้แพทย์ประเมินร่องแก้มเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำฟิลเลอร์ว่าบริเวณที่คนไข้จะฉีดเหมาะกับฟิลเลอร์ประเภทไหน ยี่ห้ออะไร โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้มทั้ง 2 ข้างเพียง 0.5 – 2 CC เท่านั้น แต่หากคนไข้มีอายุมาก (50 ปีขึ้นไป) อาจต้องใช้ฟิลเลอร์มากกว่า 2 CC หรืออาจร้อยไหมร่วมด้วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งขึ้น
- แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าบริเวณที่จะฉีด ก่อนที่จะแนะนำฟิลเลอร์ที่จะฉีดอีกทีว่าเป็นของแท้แน่นอน
- จากนั้นแพทย์จึงฉีดฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณที่มีร่องแก้ม และประคบน้ำแข็งเพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
- หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะแนะนำวิธีดูแลตัวเองเพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วและถนอมให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานยิ่งขึ้น
- แพทย์จะนัดเพื่อติดตามผลการรักษา แต่หากมีอาการผิดปกติหลังจากฉีด ให้รีบมาพบแพทย์ทันที
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- ห้ามนอนราบหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 3 – 4 ชั่วโมง
- ห้ามแต่งหน้าและห้ามใช้ครีมบำรุงผิวหน้าทุกชนิดในช่วง 12 ชั่วโมงแรก
- ห้ามออกกำลังกายและห้ามสัมผัสความร้อนบริเวณใบหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
- ดื่มน้ำในปริมาณมากประมาณ 12 แก้ว/วัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ช่วยให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น
- หากมีความจำเป็น ควรประคบเย็นตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
- งดเลเซอร์ร้อนบริเวณผิวชั้นลึกทุกชนิด อย่างน้อย 2 สัปดาห์
YKJ Medical Center (ชื่อเดิม “ธีระธรฌ์คลินิก”) ก่อตั้งโดยคุณหมอกัน นพ. รัฐรุจน์ บารมีไชยภัสร์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านศัลยกรรมความงามและการปรับรูปหน้าระดับนานาชาติ ประสบการณ์กว่า 20 ปี โดดเด่นในหลากหลายหัตถการ เช่น เสริมจมูกโอเพ่น , ทำตาสองชั้น , ดึงหน้า , เสริมหน้าอก , ฉีดฟิลเลอร์ และอื่นๆ
คุณหมอกันเป็นผู้บุกเบิกการทำจมูกเทคนิคโอเพ่นรายแรกๆ ในประเทศไทย และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายด้านความงามหลายครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแก้จมูก การทำจมูกเทคนิคโอเพ่น โดย YKJ Medical Center ได้รับรางวัลมากมาย อาทิเช่น
- “THE MOST TRUSTED OPEN TECHNIQUE RHINOPLASTY SPECIALIST 2023” คลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด ในการทำศัลยกรรมจมูกโอเพ่นในประเทศไทย จาก HELLO! MAGAZINE ประจำปี 2023
- “THE BEST OF OPEN RECONSTRUCTION RHINOPLASTY” คลินิกยืน 1 ด้านการแก้จมูก และทำจมูกจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น จากสุดสัปดาห์ ประจำปี 2022 – 2023 สองปีซ้อน
- “Customer High Recognition Award 2023” รางวัลคลินิกที่มียอดใช้ผลิตภัณฑ์ Galderma (Filler Restylane) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ประจำปี 2023
นอกจากคุณหมอกันแล้ว YKJ Medical Center ยังมีแพทย์มากประสบการณ์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน สามารถมั่นใจได้เลยว่าเมื่อมาที่ YKJ Medical Center แล้ว จะได้รับมาตรฐานการดูแลรักษาที่ดี ในราคาที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน