การเสริมหน้าอกในปัจจุบันถือว่าปลอดภัยและมีทางเลือกในการรักษามากขึ้น แต่การทำเข้าใจถึงปัญหาหลังจากเสริมหน้าอกจะช่วยให้สาว ๆ ระมัดระวังและเลือกสรรคลินิกและหมอที่จะเสริมหน้าอกให้เราได้ดียิ่งขึ้น สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการเสริมหน้าอกหรือเสริมไปแล้ว แต่อยากรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อซิลิโคนหน้าอกแตกหรือไม่ วันนี้ผมมีสัญญาณและวิธีรับมือมาฝากกันครับ รับรองว่าอ่านจบแล้วมั่นใจมากยิ่งขึ้นแน่นอนครับ
ซิลิโคนหน้าอกแตกเกิดจากอะไร
1. ซิลิโคนไม่ได้มาตรฐาน
เนื่องจากซิลิโคนเหล่านี้ใช้วัสดุราคาถูก ขั้นตอนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ซิลิโคนเหล่านี้ไม่ทนทานต่อแรงดันสูง ไม่ทนต่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำ โดยซิลิโคนไม่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่มักฉีดจากมือของหมอกระเป๋าหรือคลินิกเสริมความงามที่ไม่ได้มาตรฐาน ค่าบริการค่อนข้างถูกกว่าราคาคลินิกทั่วไป
2. อายุการใช้งานของซิลิโคน
แม้ว่าซิลิโคนจะมีอายุการใช้งานมากถึง 20 ปี แต่ในความเป็นจริงแล้วซิลิโคนจะเริ่มเสื่อมสภาพตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ทางที่ดีควรตรวจเช็กด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound), แมมโมแกรม (Mammogram) หรือ MRI (Magnetic Resonance Imaging) เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นต่อหน้าอกที่เสริมด้วยนะครับ
3. หมอที่ทำการรักษาไม่มีประสบการณ์ ไม่ชำนาญมากพอ
หากสาว ๆ เข้ารับการผ่าตัดจากหมอกระเป๋าหรือหมอที่ไม่ได้จบด้านการเสริมความงามโดยตรง ซึ่งเป็นหมอที่เลือกใช้ซิลิโคนผิดขนาดเกินกว่าเต้านมจะรับไหวจนซิลิโคนพับหรืองอขึ้นมาและแตกในที่สุด
สัญญาณเตือนว่าซิลิโคนหน้าอกแตก
1.เกิดพังผืดรอบเต้านม
เกิดจากซิลิโคนเสริมหน้าอกเกิดรอยรั่วหรือแตก ทำให้ฐานเต้านมมีขนาดไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของซิลิโคนที่ใช้ด้วยนะครับ หากเป็นซิลิโคนถุงน้ำเกลือ ซึ่งเป็นซิลิโคนแบบเก่าที่มีโอกาสรั่วมากกว่า แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายเนื่องจากร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้เอง แต่ผมขอแนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจให้อย่างละเอียดจะดีกว่าครับ ส่วนซิลิโคนแบบเจลซึ่งมีความหนาและคงตัวมากกว่า แต่หากแตกหรือรั่วขึ้นมา อันทำให้ร่างกายสร้างพังผืดขึ้นมาเพื่อป้องกันซิลิโคน ซึ่งเป็นสิงแปลกปลอมของร่างกายนั่นเอง โดยอาการของพังพืดแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะแรก เป็นระยะที่ไม่สามารถสังเกตอาการใด ๆ ได้ เนื่องจากเต้านมยังดูเป็นะรรมชาติ
- ระยะที่ 2 เต้านมแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่มีความผิดปกติภายนอกแต่อย่างใด
- ระยะที่ 3 เต้านมแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน รูปทรงบิดเบี้ยวไปจากเดิม
- ระยะที่ 4 เต้านผิดรูปอย่างเห็นได้ชัด หัวนมแข็งขึ้นและชี้ผิดทาง หากปล่อยไว้นานอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อและกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด
2. หน้าอกมีรูปร่างผิดไปจากเดิม
สังเกตได้จากขนาดของเต้านมทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือหน้าอกเล็กมีขนาดหดลงอย่างรวดเร็ว
3. ไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ
นอกจากจะไวต่อความรู้สึกแล้ว อาจรู้สึกรู้สึกชา เจ็บปวดง่าย ปวดแสบปวดร้อน บวมแดง หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเต้านมอักเสบด้วยนะครับ
ดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกอย่างไรบ้าง
- พักผ่อนให้เพียงพอ คนไข้บางคนอาจมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ ทางที่ดีหมอกันขอแนะนำให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ งดการขับรถหรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรในช่วง 7 วันแรก เพื่อป้องกันอันตรายจากการที่ร่างกายแข็งแรงไม่เต็มร้อยครับ
- อาบน้ำอย่างระมัดระวัง หลังจากผ่าตัด หมอจะแปะแผ่นปิดแผลผ่าตัดสำหรับกันน้ำ คนไข้จึงอาบน้ำได้ตามปกติแต่ต้องระวังไม่ให้น้ำและสบู่ไหลไปโดนหน้าอกโดยตรง ผมขอแนะนำให้ราดน้ำไปทางด้านหลังแทนครับ
- ทานยาอย่างเคร่งครัด คนไข้ควรทานยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบที่หมอจ่ายให้ และปฏิบัติตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้แผลอักเสบตามมา
- นวดหน้าอกหลังศัลยกรรมหน้าอก ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ บางคนอาจไม่ต้องนวดก็ได้ แต่ในเคสที่ต้องนวด ผมแนะนำให้ใช้มือทั้ง 2 ข้าง ดันเต้านมด้านข้างให้ชิดกันแล้วค้างไว้ จากนั้นดันเต้านมทั้ง 2 ข้างให้ห่างกันแล้วค้างเอาไว้ ใช้ฝ่ามือดันหน้าอกจากบนลงล่างแล้วค้างไว้ จากนั้นใช้มือบีบฐานหน้าอกแล้วดันขึ้นไป ค้างไว้ ทำสลับกันซ้ายขวา แต่ละท่าควรใช้เวลาประมาณ 10 วินาที
- เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง ทานควบคู่กับผักและผลไม้ เนื่องจากโปรตีนจะช่วยซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นครับ
- สวมซัพพอร์ตบราช่วยพยุงหน้าอก เนื่องจากซัพพอร์ตบราจะช่วยไม่ให้ซิลิโคนเคลื่อนตัวไปมา ป้องกันซิลิโคนลอย ช่วยลดอาการบาดเจ็บหลังการผ่าตัดได้ดี หมอกันขอแนะนำให้เลือกซัพพอร์ตบราสำหรับเคสเสริมหน้าอกเท่านั้นนะครับ
- งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากของเหล่านี้จะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดออกง่ายและเกิดอาการบวมหลังผ่าตัด
- ห้ามโนบราหลังทำหน้าอก ในช่วงเดือนแรกหมอแนะนำให้สวมชุดชั้นในตลอดเวลานะครับ โดยใส่แบบมีแถบคาดใต้อกหรือมีโครง เพื่อรักษาทรงหน้าอกได้นานขึ้นครับ
- งดกิจกรรมที่ต้องออกแรงเยอะ โดยเฉพาะการออกกำลังกาย, คาร์ดิโอ, วิ่ง หรือบริหารร่างกายในช่วง 7-10 วันแรก อาจกระทบกระเทือนหน้าอกจนเกิดแผลอักเสบง่าย แต่หากต้องการออกกำลังกายจริง ๆ แนะนำให้ออกหลังจากผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนการออกกำลังกายหนัก ๆ สามารถทำได้หลังจากผ่าตัดประมาณ 6 สัปดาห์ และที่สำคัญควรสวมชุดเสื้อชั้นในสำหรับออกกำลังกายระหว่างออกกำลังกายด้วยนะครับ
- งดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 14 วันแรก เพื่อป้องกันการสัมผัสหน้าอกอย่างรุนแรงจนทำให้แผลหายช้า และในช่วง 2 เดือนแรกหากคนไข้ต้องการมีกิจกรรมทางเพศจริง ๆ ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องเลือกท่าที่ไม่ทำให้เจ็บหน้าอกและไม่กระเทือนหน้าอกด้วยนะครับ
- พบแพทย์ เนื่องจากระหว่างพักฟื้นอาจมีอาการบวมช้ำ หรือเลือดซึมบริเวณแผลบ้างในช่วง 7 วันแรก แต่หากผ่านไปแล้ว 7 วันแต่ยังแผลยังมีรอยแดง มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลซึมออกมา แนะนำให้รีบมาพบหมอโดยเร็วที่สุดครับ
YKJ Medical Center (ชื่อเดิม “ธีระธรฌ์คลินิก”) ก่อตั้งโดยคุณหมอกัน นพ. รัฐรุจน์ บารมีไชยภัสร์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านศัลยกรรมความงามและการปรับรูปหน้าระดับนานาชาติ ประสบการณ์กว่า 20 ปี โดดเด่นในหลากหลายหัตถการ เช่น เสริมจมูกโอเพ่น , ทำตาสองชั้น , ดึงหน้า , เสริมหน้าอก , ฉีดฟิลเลอร์ และอื่นๆ
คุณหมอกันเป็นผู้บุกเบิกการทำจมูกเทคนิคโอเพ่นรายแรกๆ ในประเทศไทย และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายด้านความงามหลายครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแก้จมูก การทำจมูกเทคนิคโอเพ่น โดย YKJ Medical Center ได้รับรางวัลมากมาย อาทิเช่น
- “THE MOST TRUSTED OPEN TECHNIQUE RHINOPLASTY SPECIALIST 2023” คลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด ในการทำศัลยกรรมจมูกโอเพ่นในประเทศไทย จาก HELLO! MAGAZINE ประจำปี 2023
- “THE BEST OF OPEN RECONSTRUCTION RHINOPLASTY” คลินิกยืน 1 ด้านการแก้จมูก และทำจมูกจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น จากสุดสัปดาห์ ประจำปี 2022 – 2023 สองปีซ้อน
- “Customer High Recognition Award 2023” รางวัลคลินิกที่มียอดใช้ผลิตภัณฑ์ Galderma (Filler Restylane) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ประจำปี 2023
นอกจากคุณหมอกันแล้ว YKJ Medical Center ยังมีแพทย์มากประสบการณ์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน สามารถมั่นใจได้เลยว่าเมื่อมาที่ YKJ Medical Center แล้ว จะได้รับมาตรฐานการดูแลรักษาที่ดี ในราคาที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน