รู้ไหมครับว่าการร้อยไหมไม่ได้ทำได้เฉพาะใบหน้าอย่างเดียว แต่ยังทำกับใต้ตาและจมูกได้ด้วย ว่าแต่ร้อยไหมมีกี่แบบ แบบไหนปลอดภัยและเหมาะกับคุณบ้าง มาดูกัน
ร้อยไหมมีกี่แบบ อะไรบ้าง
โดยทั่วไปจะแบ่งออกตามประเภทของไหม ได้แก่ แบ่งจากความสามารถในการละลายไหมตามธรรมชาติ และลักษณะของเส้นไหม
1. แบ่งจากความสามารถในการละลายไหมตามธรรมชาติ
1.1 ไหมละลาย
เป็นไหมที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ คนไข้จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสารเคมีตกค้าง โดยใช้วัสดุในการผลิต 3 ประเภท ได้แก่
- PCL (Polycaprolactone) เป็นวัสดุเหนียว มีสีใส มีความยืดหยุ่นที่เป็นไปตามการขยับใบหน้าของคนไข้ สามารถลดปัญหาเส้นไหมขาดได้ดี ไหมชนิดนี้อยู่ได้ประมาณ 1 ปี
- PDO (Polydioxanone) เป็นวัสดุยอดนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง อีกทั้งไม่มีสารก่อให้เกิดอาการแพ้ นอกจากจะใช้ร้อยไหมสำหรับเสริมความงามแล้วยังถูกนำมาใช้ในการแพทย์สำหรับผ่าตัดเย็บเส้นเลือดหัวใจ PDO อีกด้วย ไหมชนิดนี้อยู่ได้ไม่ถึง 6 เดือน
- PLLA (Polylactic acid) เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงคงทนไม่แพ้ PDO เลย แต่มีปัญหาในเรื่องความเปราะบาง, แตกหักง่าย และไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่าที่ควร ไหมชนิดนี้อยู่ได้ประมาณ 18 – 24 เดือน
1.2 ไหมไม่ละลาย
เป็นไหมที่ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากคนไข้ต้องการเสริมจมูกหลังจากร้อยไหมด้วยไหมไม่ละลาย อาจต้องผ่าตัดเอาไหมออกเพียงอย่างเดียว ไหมประเภทนี้ผลิตจากโลหะ, พลาสติก และทองคำ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- ไหมพลาสติกพอลิโพรไพลีน (Polypropylene) ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากมีผลข้างเคียงตามมามาก ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบบริเวณปมไหม หรือใบหน้ากลับมาหย่อนคล้อยเพราะไหมหัก
- ไหมทองคำ เป็นไหมที่มีส่วนผสมของทองคำบริสุทธิ์ ปัจจุบันไม่นิยมนำมาใช้ เนื่องจากไม่ทนต่อความร้อน อาจทำให้ใบหน้าผิดรูปและเกิดอาการแพ้ หากคนไข้ร้อยไหมชนิดนี้เข้าไปอาจไม่สามารถทำ CT Scan และ MRI ได้
2. แบ่งจากลักษณะของเส้นไหม
2.1 เส้นไหมแบบเรียบ (Mono thread)
- ไหมแบบเรียบตรง เป็นไหมที่ไม่มีเงี่ยง เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวดูแน่นขึ้น แต่เนื่องจากไหมประเภทนี้ไม่มีเงี่ยงเกาะกับผิว จึงไม่ช่วยยกกระชับส่วนที่หย่อนคล้อยเท่าที่ควร
- ไหมแบบเกลียว เป็นไหมชนิดเดียวกับไหมแบบเรียบ แต่จะมีเกลียวรอบเข็ม เหมาะสำหรับช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อเพิ่มให้ผิวดูอิ่มฟู
2.2 เส้นไหมแบบเงี่ยง (Barb thread)
เป็นไหมที่มีเงี่ยงสำหรับยึดเกาะผิวหนัง ทั้งนี้อาจมีเงี่ยง 1 หรือ 2 ทิศทางก็ได้ ไหมประเภทนี้จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ด้านการยกกระชับได้ดีกว่าแบบเรียบ ทั้งช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อย, ปัญหาร่องน้ำหมาก และปัญหาร่องแก้ม เนื่องจากเงี่ยงไหมจะใช้เส้นไหมในการร้อยน้อยกว่าไหมแบบเรียบ จึงล็อกผิวได้ดีกว่า ไหมแบบเงี่ยงมี 2 ประเภท ได้แก่
- เงี่ยงแบบบาก ผลิตจากการนำเลเซอร์มาลากบริเวณผิวด้านนอกของเส้นไหมให้เป็นซี่ ๆ ทำให้เงี่ยงเรียงตัวแตกต่างกันไปตามรูปแบบการใช้งาน ได้แก่ Uni-direction เงี่ยงเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกัน, Bi-direction เงี่ยงเรียงตัว 2 ทิศทางแบบสวนทางกัน และ 3D cog เป็นเงี่ยงที่เรียงตัวแบบ 3 มิติ สามารถหมุนรอบแนวเส้นไหมได้มากถึง 360 องศา
- เงี่ยงแบบหล่อ มาพร้อมกับตัวเส้นไหมจากแม่พิมพ์ ข้อดีของเงี่ยงประเภทนี้คือมีความแข็งแรงสูง จึงยึดเกาะกับผิวได้แน่นกว่าแบบบาก เงี่ยงแบบหล่อมีการเรียงตัวแตกต่างกันไปตามรูปแบบการใช้งาน ได้แก่ Carving cog เงี่ยงเรียงตัวไปตามแนวเส้นไหม รูปทรงคล้ายร่ม, Molding cog เงี่ยงมีรูปทรงคล้ายฟันปลาฉลาม และ3D Molding cog ลักษณะเงี่ยงเป็นหนามขนาดใหญ่ออกมาจากแกนกลางเส้นไหมและวนรอบทิศทาง 360 องศา คล้ายกับหนามกุหลาบ
2.3 เส้นไหมกรวย
เป็นไหมที่มีเงี่ยงแบบกรวย 3 มิติ คล้ายกรวยไอศกรีม ขนาดของไหมกรวยจะกว้างกว่าไหมแบบเงี่ยง จึงช่วยในการยึดเกาะกับผิวได้ดี, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้นานกว่า แถมตัวกรวยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวด้วย แต่เนื่องจากไหมชนิดนี้มีขนาดใหญ่ ศัลยแพทย์ที่ใช้ไหมประเภทนี้จะต้องมีเทคนิคและประสบการณ์ที่สูงในการสอดไหมเข้าไปใต้ชั้นผิว
2.4 ไหมโครงตาข่าย
เป็นเงี่ยงไหม 2 ชั้น แบ่งเป็นชั้นด้านใน (Barb) ซึ่งเป็นเงี่ยงไหมแบบ 3 มิติ ล้อมรอบตัวไหม และชั้นด้านนอก (Mesh) เป็นเส้นใยโครงตาข่ายล้อมรอบตัวไหม 360 องศา จึงทำให้เงี่ยงแข็งแรง ช่วยให้ยกกระชับผิวหย่อนคล้อยได้ดีมาก
2.5 เส้นไหมเกลียว
มีลักษณะคล้ายไหม PDO เส้นเรียบ แต่มีเหมือน 2 เส้นรวมกันจนกลายเป็นเกลียว ไม่เหมาะสำหรับยกกระชับและอาจเกิดปัญหาบวมช้ำหลังร้อยไหมได้
2.6 ไหมมิ้นท์
ตัวเส้นไหมสามารถหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้ยึดเกาะเนื้อเยื่อได้หลายทิศทาง แถมตัวไหมยังมีความแข็งแรง ไม่เปราะง่าย ทำให้เห็นผลลัพธ์ในการยกกระชับหน้าได้ดี
2.7 ไหมอิตาลี
ผลิตด้วยวัสดุที่ผสมกันระหว่าง PLLA และ PCL ทำให้ตัวไหมมีความยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำได้ดี อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย
2.8 ไหมคอลลาเจน
เป็นไหมที่ร้อยเพื่อสร้างคอลลาเจน ช่วยกระชับรูขุมขน ลดริ้วรอยขนาดเล็กบนใบหน้า ส่วนใหญ่เป็นไหมเรียบ จึงต้องใช้ไหมจำนวนมากในการรักษา (ประมาณ 20 – 40 เส้น)
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังจากร้อยไหม
ไม่ว่าการร้อยไหมมีกี่แบบให้เลือกก็ตาม แต่หนึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์คงทนตามประสิทธิภาพการใช้งานของไหมชนิดนั้น ๆ ก็คือการดูแลตัวเองของคนไข้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- หลังทำการรักษา อาจมีอาการบวมเล็กน้อยและอาการเสียวไหมบริเวณที่รับการรักษาประมาณ 1 สัปดาห์
- อาจพบรอยช้ำจากรอยเข็มเล็กน้อย ซึ่งจะหายเองภายใน 1 – 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการใช้สารที่มีส่วนผสมของ BHA, AHA และ Retinoid หลังจากร้อยไหมเป็นเวลา 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหม, การอยู่ในที่ร้อน เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดด, การซาวน่า และการอบไอน้ำ
- งดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดออก ได้แก่ แอสไพริน, วิตามิน E, ใบแปะก๊วย ฯลฯ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 2 วัน หลังการฉีด
- งดการทำ Treatment บนใบหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์
บทความที่น่าสนใจ
- จมูกสั้นรักษาดีมั้ย แก้เป็นทรงจมูกแบบไหนดี
- เสริมจมูกชมพู่อย่างไร ให้เสริมออร่ายิ่งกว่าเดิม
- อย่าปล่อยให้จมูกพังจากการแก้จมูกโดยหมอที่ไม่ได้มาตรฐาน