จุดด่างดำถือเป็นหนึ่งอุปสรรคต่อความสวยของสาว ๆ แม้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย แต่กลับส่งผลให้ใครหลายคนหมดความมั่นใจในตัวเองเมื่อต้องออกไปพบเจอผู้คน วันนี้เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับปัญหาผิวหน้าประเภทนี้กันว่าเกิดจากอะไร มีวิธีการรักษาแบบไหนบ้าง และควรดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาผิวหน้าโผล่ขึ้นมากวนใจอีก มาอ่านไปพร้อมกันเลยครับ
จุดด่างดำเกิดจากอะไร
เกิดจากการถูกกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ในชั้นผิวหนังมากขึ้นกว่าปกติ สีผิวบริเวณนั้นจึงเข้มกว่าผิวโดยรอบ ส่งผลให้สีผิวหน้าดูไม่สม่ำเสมอ โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการกระตุ้น ได้แก่ รังสี UV (รังสีอัลตราไวโอเลต) ทั้งจากแสงแดดและแสงจากคอมพิวเตอร์, ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง จนทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์และวัยหมดประจำเดือน, อายุมากขึ้น ทำให้ร่างกายผลัดเซลล์ผิวและสร้างเซลล์ผิวใหม่ช้าลง, สิวอักเสบ ถึงแม้ว่าจะรักษาสิวหายแล้วก็ตาม แต่รอยสิวก็ยังคงอยู่, แพ้ส่วนผสมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว อาจเกิดจากการใช้เครื่องสำอางไม่มีคุณภาพ, รวมถึง ผลข้างเคียงจากการรักษาทางการแพทย์ ได้แก่ ทานยาคุมกำเนิด, ผู้ที่มีโรคประจำตัวและขาดวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย, การทำทรีตเมนต์หน้าด้วยเลเซอร์ ฯลฯ
จุดด่างดำมีกี่ประเภท
1. ฝ้า
เป็นลักษณะรอยคล้ำสีน้ำตาลอ่อนบริเวณหน้าผาก, ใบหน้า, โหนกแก้ม และคาง พบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25-55 ปี ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ฝ้ามีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่
- ฝ้าตื้น (Epidermal type) มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาดำ มักพบบริเวณชั้นหนังกำพร้าหรือผิวหนังชั้นนอก เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นง่ายและเห็นได้ชัดเจน ใช้เวลาไม่นานในการรักษา
- ฝ้าลึก (Dermal type) มีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีเทาอมฟ้า มักพบบริเวณชั้นหนังแท้ เกิดจากการถูกกระตุ้นให้สร้างเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ รักษายากกว่าฝ้าตื้น
- ฝ้าเลือด (Vascular melasma) มีสีแดงคล้ายเส้นเลือด หรือสีแดงปนน้ำตาล เกิดจากความผิดปกติของเลือดลมและฮอร์โมนภายในร่างกาย เวลาโดนแสงแดดจัด ผิวหน้าจะแดงง่ายกว่าคนทั่วไป
2. กระ
เป็นจุดสีน้ำตาลหรือดำตามผิวหน้า, ลำคอ หรือส่วนอื่นของร่างกายที่โดนแสงแดดเป็นประจำ เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้เหมือนเดิม กระมีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่
- กระตื้น (Freckle) เป็นจุดสีน้ำตาล มีขนาดเล็กไม่เกิน 0.5 ซม. สามารถพบได้ทุกส่วนของใบหน้า โดยสีจะเข้มขึ้นเมื่อโดนแสงแดด
- กระลึก (Nevus of Hori) เป็นจุดสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ มักพบบริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง จัดเป็นกระที่รักษายากที่สุดและใช้เวลารักษานานเนื่องจากเป็นเม็ดสีที่อยู่ลึก
- กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) เป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนหรือเข้ม พบได้ตามใบหน้า, ลำคอ, หน้าอก และหลัง หากปล่อยไว้นานอาจขยายตัวใหญ่ขึ้นและมีสีเข้มขึ้นด้วย
- กระแดด (Actinic Keratosis) เป็นจุดสีน้ำตาลและมีผิวเรียบ มักพบในผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีผิวขาว และผู้ที่ทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน มักพบตามส่วนที่โดดแดดเป็นประจำ
จุดด่างดำ รักษายังไง
1. รักษาด้วยวิธีธรรมชาติ
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ นอกจากจะต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดเป็นเวลานานแล้ว ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 PA+++ ที่ช่วยป้องกันรังสี UVA ได้ถึง 6-8 เท่า
- ทานอาหารบำรุงผิว โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน A และ C, เบต้าแคโรทีน, ไอโซฟลาโวน และสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ ถั่วเหลือง, มะเขือเทศ, บรอกโคลี, ไขมันดีจากปลา ฯลฯ
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ส่วนผสมที่ไม่ได้มาตรฐานในเครื่องสำอาง
- พักผ่อนให้เพียงพอ ทุกครั้งที่นอนหลับ ร่างกายจะมีกระบวนการฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย หากคุณพักผ่อนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาผิวได้ด้วย
- ดื่มน้ำเป็นประจำ การดื่มน้ำตามความต้องการของร่างกายจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เนื่องจากร่างกายประกอบด้วยน้ำมากถึง 2 ใน 3 ส่วนของน้ำหนักตัว
2. รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
2.1 การยิงเลเซอร์ Pico
แพทย์จะใช้เครื่องเลเซอร์ Pico ส่งพลังงานเลเซอร์ที่มีความถี่สูงมากเข้าไปยังเม็ดสีที่ผิดปกติ ช่วยให้เม็ดสีที่เรียงตัวกันอย่างหนาแน่นเกิดการแตกกระจายตัวออก ไม่ว่าจะเป็นฝ้า, กระ และจุดด่างดำก็ตาม จากนั้นเม็ดสีจะถูกดูดซึมออกจากร่างกายตามกระบวนการธรรมชาติ โดยไม่สะสมความร้อนในบริเวณเซลล์โดยรอบ เม็ดสีที่ผิดปกติจะเริ่มจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา ข้อดีของการรักษาแบบนี้คือไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง จึงไม่รู้สึกเจ็บระหว่างรักษา ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิม ทำให้คนไข้เข้ารับการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
ส่วนวิธีการรักษานั้นไม่ยุ่งยาก เพียงแค่แพทย์จะทำความสะอาดผิวหน้าก่อน แล้วจึงใส่ที่ครอบบริเวณตาเพื่อป้องกันแสงกระทบดวงตา จากนั้นแพทย์จะยิงเลเซอร์บริเวณที่ทำการรักษา โดยมีพนักงานคอยเป่าลมเย็นไปพร้อมกับการยิงเลเซอร์เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายระหว่างการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคนไข้ควรรักษาทุก ๆ 2 สัปดาห์ต่อเนื่องกันประมาณ 3-10 ครั้ง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
2.2 การฉีด Meso Arbutin
แพทย์จะใช้ Meso Therapy ที่มีตัวยาสูตรเฉพาะเข้มข้นอย่าง Alpha-Arbutin ผสมเข้าไปในเมโส จากนั้นจึงฉีดตัวยาเข้าไปใต้ผิวหนังของคนไข้โดยตรง เพื่อกระตุ้นให้ผิวยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่แตกต่างบนผิวหนังและลดความหมองคล้ำบนใบหน้า ส่วนผลลัพธ์จะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) และที่สำคัญควรรักษาทุก ๆ 1-2 สัปดาห์
YKJ Medical Center (ชื่อเดิม “ธีระธรฌ์คลินิก”) ก่อตั้งโดยคุณหมอกัน นพ. รัฐรุจน์ บารมีไชยภัสร์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านศัลยกรรมความงามและการปรับรูปหน้าระดับนานาชาติ ประสบการณ์กว่า 20 ปี โดดเด่นในหลากหลายหัตถการ เช่น เสริมจมูกโอเพ่น , ทำตาสองชั้น , ดึงหน้า , เสริมหน้าอก , ฉีดฟิลเลอร์ และอื่นๆ
คุณหมอกันเป็นผู้บุกเบิกการทำจมูกเทคนิคโอเพ่นรายแรกๆ ในประเทศไทย และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายด้านความงามหลายครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแก้จมูก การทำจมูกเทคนิคโอเพ่น โดย YKJ Medical Center ได้รับรางวัลมากมาย อาทิเช่น
- “THE MOST TRUSTED OPEN TECHNIQUE RHINOPLASTY SPECIALIST 2023” คลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุด ในการทำศัลยกรรมจมูกโอเพ่นในประเทศไทย จาก HELLO! MAGAZINE ประจำปี 2023
- “THE BEST OF OPEN RECONSTRUCTION RHINOPLASTY” คลินิกยืน 1 ด้านการแก้จมูก และทำจมูกจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น จากสุดสัปดาห์ ประจำปี 2022 – 2023 สองปีซ้อน
- “Customer High Recognition Award 2023” รางวัลคลินิกที่มียอดใช้ผลิตภัณฑ์ Galderma (Filler Restylane) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ประจำปี 2023
นอกจากคุณหมอกันแล้ว YKJ Medical Center ยังมีแพทย์มากประสบการณ์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน สามารถมั่นใจได้เลยว่าเมื่อมาที่ YKJ Medical Center แล้ว จะได้รับมาตรฐานการดูแลรักษาที่ดี ในราคาที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน