ซิลิโคนเอียงเป็นหนึ่งในปัญหากวนใจสาว ๆ หลายคนที่เสริมจมูกแล้วซิลิโคนไม่เข้าที่ แล้วปัญหานี้เกิดจากอะไร สามารถรักษาได้หรือไม่ วันนี้ผมมีคำตอบครับ
ซิลิโคนเอียงเกิดจากอะไร
ซิลิโคนเอียง หรือที่ใครหลายคนเรียกติดปากว่า ซิลิโคนลอย เกิดจากซิลิโคนที่เสริมเข้าไปจากการเสริมจมูก ดันไม่แนบติดกับเนื้อจมูก ขยับได้ง่ายหากสัมผัสเพียงเล็กน้อย โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ประสบอุบัติเหตุ, ถูกบิดจมูกอย่างรุนแรง, เหลาซิลิโคนไม่พอดีกับแกนจมูก, แพทย์วางซิลิโคนไม่ครอบแกนจมูกหรือไม่ได้วางซิลิโคนภายใต้เยื่อหุ้มกระดูก รวมถึงผ่าตัดทำช่องใส่ซิลิโคนไม่พอดี หากปล่อยไว้นานวันเข้า อาจทำให้ซิลิโคนจมูกทะลุ หากจมูกสะท้อนแสง มันวาวผิดปกติ หรือมีสีขาวใสบริเวณปลายจมูก, เนื้อที่ปลายจมูกมีสีแดงมากขึ้นเพราะจมูกบางลง หรือมีสิวขึ้นที่ปลายจมูก ต่อให้ทานยารักษาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น หากปล่อยให้ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อที่หุ้มซิลิโคนเสริมจมูกจนเกิดการอักเสบและติดเชื้อตามมา ส่งผลให้ผิวหนังจมูกบางลงและทำให้ซิลิโคนทะลุในที่สุด
สังเกตอาการซิลิโคนเอียงได้ด้วยตัวเอง
- ปลายจมูกมีสีขาวใส (สีของซิลิโคน) หรือเห็นทรงซิลิโคนชัดเจน
- ปลายจมูกแดงหรือคล้ำไปจากเดิม มีเนื้อจมูกบางลง
- มีสิวขึ้นที่ปลายจมูกหรือเกิดการอักเสบ
แก้ปัญหาได้จากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ
1. วางตำแหน่งของซิลิโคนจมูกไม่เหมาะสม
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว เกิดจากการวางตำแหน่งซิลิโคนไม่ถูกที่ แต่หากวางซิลิโคนไว้ใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูกเป็นตำแหน่งที่เหมาะที่สุดต่อการวางซิลิโคน จะช่วยให้จมูกที่เสริมเข้าไปมีความตรง มีทรงสวย เนื่องจากชั้นเยื่อหุ้มกระดูกจะล็อกซิลิโคนจมูกเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ แถมยังวางได้แนบสนิทกับฐานจมูกเดิมของคนไข้มากที่สุด
2. ฐานจมูกเดิมของคนไข้เอียงตั้งแต่แรก
หากฐานจมูกเดิมเอียงไม่มาก คุณหมอจะแก้ไขให้จมูกตรงขึ้นด้วยการเหลาซิลิโคนจมูกให้พอดี แต่หากฐานจมูกเอียงมากจะต้องแก้ไขด้วยการเสริมจมูกด้วยเทคนิค open เพื่อแก้โครงสร้างของจมูก
เทคนิค open คืออะไร
เทคนิค Open Reconstruction หรือ Open Rhinoplasty เป็นเทคนิคการทำจมูกแบบเปิดโดยคุณหมอจะผ่าตัดเปิดแผลบริเวณฐานตรงปลายของรูจมูกทั้ง 2 ข้าง เพื่อเผยโครงสร้างภายในทุกส่วน ซึ่งช่วยให้คุณหมอวิเคราะห์และแก้ทรงจมูกได้ตรงจุด สามารถแก้ให้จมูกเล็กลง, ยาวขึ้น หรือปรับแกนจมูกให้ตรงสวยด้วยการใช้กระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อสังเคราะห์ เทคนิคนี้แตกต่างจากการเสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty) เนื่องจากใช้ซิลิโคนที่เน้นเสริมจมูกให้โด่งเพียงอย่างเดียว เทคนิค open มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน โดยคุณหมอจะผ่าตัดเอากระดูกอ่อนกลางจมูกออกมา 2 ใน 3 เพื่อใช้เสริมปลายจมูก เพราะการใช้กระดูกอ่อนกลางจมูกจะช่วยยืดปลายจมูกให้เรียวยาวขึ้นและได้จมูกปลายหยดน้ำ ช่วยให้ปลายจมูกพุ่งขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องจมูกทะลุ เหมาะสำหรับคนไข้จมูกสั้นที่ต้องการปลายจมูกพุ่งและยาว
ส่วนการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง เป็นการแก้จมูกโดยใช้กระดูกอ่อนบริเวณซี่โครง คุณหมอจะผ่าตัดโดยใช้เทคนิคแบบเปิดเพื่อแก้ไขรูปทรงจมูกหรือเสริมบริเวณที่ต้องการ เป็นวิธีการแก้ไขทรงจมูกหากไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยซิลิโคน แต่ข้อจำกัดของการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงนั้นจะต้องอาศัยความชำนาญของคุณหมอเป็นอย่างมาก หากทำพลาดอาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมา เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่แก้จมูกมาแล้วหลายครั้ง หรือเคสที่ปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อน
การเสริมจมูกแบบนี้จะต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การแก้จมูกมาอย่างยาวนาน เพราะนอกจากจะต้องเหลาซิลิโคนให้เข้ากับรูปหน้าของคนไข้แล้ว ยังต้องเหลากระดูกอ่อนหลังหูหรือเนื้อเยื่อเทียมอีกด้วย ทางที่ดีคุณหมอควรเหลาซิลิโคนแบบเคสต่อเคส โดยเทียบกับหน้าเราจริง ๆ ทำให้เรียบเนียนไปกับฐานจมูก ดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการบวมช้ำอีกด้วย
แก้ปัญหาปลายจมูกบาง
ปลายจมูกบางเกิดจากซิลิโคนจมูกไม่พอดีกับฐานจมูกเดิม แถมยังไม่พอดีกับเนื้อปลายจมูกของคนไข้อีกด้วย ดังนั้นคุณหมอจะต้องเหลาและตกแต่งซิลิโคนให้พอดีกับคนไข้แต่ละคน เพื่อลดโอกาสที่ปลายจมูกบางและปลายจมูกทะลุน้อยลง ในปัจจุบันมีเทคนิคตกแต่งปลายจมูกเพิ่มเติม เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อจมูกทะลุ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อก้นกบ, กระดูกอ่อนหลังหู, เนื้อเยื่อเทียม ฯลฯ ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยตกแต่งให้ปลายจมูกยาวขึ้นโดยที่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ แถมยังเพิ่มความหนาของเนื้อปลายจมูกอีกด้วย
บทความที่น่าสนใจ
- รวมรีวิวเสริมจมูกโอเพ่น
- ทําจมูกแบบโอเพ่น VS ทำจมูกธรรมดา เลือกแบบไหนดีกว่ากัน?
- ปลายจมูก แข็ง หลังถอด ซิ ลิ โคน คืออะไร เสี่ยงจมูกทะลุหรือเปล่า?